วันที่นำเข้าข้อมูล 24 เม.ย. 2566
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 24 เม.ย. 2566
ออสเตรเลียมีกฎหมายแรงงานที่คุ้มครองแรงงานที่มีผลบังคับใช้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถือสัญชาติออสเตรเลียหรือผู้ที่มาจากต่างประเทศที่เข้ามาทำงานในออสเตรเลียอย่างเท่าเทียมกัน
สิ่งที่ควรรู้เมื่อต้องการมาทำงานที่ออสเตรเลีย
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.austrade.gov.au/land-tenure/Land-tenure/about-land-tenure
สิทธิบัตร คือ สิทธิที่มอบความคุ้มครองให้แก่อุปกรณ์ (device) สสาร (substance) วิธีการหรือกระบวนการใหม่ มีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น และมีประโยชน์ เป็นสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมาย และให้สิทธิแก่เจ้าของสิทธิในการแสวงหาประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์ของตนในทางการค้าแต่เพียงผู้เดียวตลอดระยะเวลาการคุ้มครองตามสิทธิบัตร โดยมีพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2533 (Patent Act 1990) ของออสเตรเลียให้ความคุ้มครองสิทธิบัตร 2 ประเภท ได้แก่
คุ้มครองการประดิษฐ์ (Invention) เป็นระยะเวลาไม่เกิน 20 ปี (หรือไม่เกิน 25 ปี กรณีการประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับยา) นับจากวันที่ยื่นขอรับความคุ้มครอง โดยระยะเวลาในการดำเนินการขอรับความคุ้มครองอยู่ระหว่าง 6 เดือนถึงหลายปี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
2. สิทธิบัตรนวัตกรรม (Innovation Patent)
เป็นสิทธิบัตรที่มีขั้นตอนการขอรับความคุ้มครองง่ายกว่าสิทธิบัตรมาตรฐาน (Standard Patent) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการไม่สูง และระยะเวลาในการดำเนินการขอรับความคุ้มครองจะใช้เวลาไม่นาน โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1 เดือน แต่มีระเวลาการคุ้มครองเพียง 8 ปี การประดิษฐ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรนวัตรกรรมเป็นการประดิษฐ์ที่ไม่ซับซ้อนเท่าสิทธิบัตรมาตรฐานได้รับสิทธิบัตรนวัตกรรมค่อนข้างรวดเร็ว มีลักษณะคล้ายกับอนุสิทธิบัตรของไทย ออสเตรเลียให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรนวัตกรรมแทนการให้ความคุ้มครองแก่อนุสิทธิบัตร (Petty Patent)
ระบบการให้ความคุ้มครอง
ใช้ระบบการจดทะเบียน โดยสิทธิบัตรที่ได้รับการจดทะเบียนเท่านั้นที่จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ. 2533 (Patent Act 1990) ระบบการจดทะเบียนของออสเตรเลียใช้ระบบผู้ยื่นก่อนมีสิทธิดีกว่า (First to file) กล่าวคือ กฎหมายให้ความคุ้มครองบุคคลแรกที่ยื่นคำขอรับสิทธิบัตร ซึ่งมีลักษณะครบถ้วนตามเงื่อนไขที่จะได้รับการคุ้มครอง ดังนี้ ลักษณะการประดิษฐ์ที่จะขอรับความคุ้มครองทางสิทธิบัตรได้
เงื่อนไขการได้รับการความคุ้มครอง
การประดิษฐ์ที่จะได้รับความคุ้มครองตามสิทธิบัตรต้องมีลักษณะ ดังนี้
สิ่งที่ไม่สามารถรับความคุ้มครองได้
สิทธิของผู้ทรงสิทธิ
ผู้ทรงสิทธิในสิทธิบัตรมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้สิ่งประดิษฐ์เพื่อการแสวงหาประโยชน์ รวมทั้งอนุญาตให้ผู้อื่นใช้การประดิษฐ์เพื่อแสวงหาประโยชน์ได้ตลอดระยะเวลาความคุ้มครองของสิทธิบัตร ทั้งนี้ “การแสวงหาประโยชน์” หมายถึง
ที่กล่าวไว้ในข้อที่ (1) เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลมาจากการใช้วิธีการหรือกรรมวิธีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผู้ยื่นคำขอจะมีสิทธิเช่นผู้ทรงสิทธิในสิทธิบัตรเมื่อได้มีการประกาศโฆษณารายละเอียดการประดิษฐ์ที่สมบูรณ์แล้ว
ขั้นตอนการขอรับความคุ้มครอง
ความตกลงทางการค้าเสรีไทยและออสเตรเลียเอื้อประโยชน์ให้นักลงทุนสัญชาติไทยเข้าไปลงทุนประกอบธุรกิจในออสเตรเลีย หากเป็นอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นข้างมาก และดำเนินการไม่ขัดต่อกฎหมาย ก็สามารถเข้าไปจัดตั้งธุรกิจได้ทันทีโดยไม่มีข้อจำกัด ควรเน้นธุรกิจที่มีศักยภาพทางการแข่งขันกับบริษัทในท้องถิ่น และเป็นธุรกิจที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับในประเทศไทยหรือเป็นธุรกิจที่คนไทยมีความชำนาญเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าในออสเตรเลีย นอกจากนี้ ควรเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก และเป็นกิจการขนาดเล็ก ได้แก่ ภัตตาคาร ร้านอาหาร ธุรกิจสปา ธุรกิจขายปลีกสินค้าอาหาร ธุรกิจบริการซ่อมแซมรถยนต์ ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจสถาบันสอนภาษาไทย ธุรกิจเสริมสวย ธุรกิจบริการทำอาหารไทย ธุรกิจบริการสอนนวดแผนไทย เป็นต้น
กลุ่มธุรกิจที่เข้าไปลงทุนได้แต่มีข้อจำกัดบางประการ
รัฐบาลออสเตรเลียจะกลั่นกรองข้อเสนอการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชาติ โดยทั่วไปแล้วข้อเสนอการลงทุนในการถือครองหุ้นตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป ในธุรกิจออสเตรเลียที่มีมูลค่าสูงกว่า 266 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย* (หรือสูงกว่า 1,154 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย* สำหรับนักลงทุนจากประเทศที่ทำข้อตกลงร่วมกัน) จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการทบทวนการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Investment Review Board – FIRB) ก่อน กรณีการลงทุนของรัฐบาลต่างประเทศ จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติ หากลงทุนโดยตรงในกิจการหรือธุรกิจออสเตรเลีย หรือหากลงทุนในธุรกิจใหม่ โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าของการลงทุน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (Treasurer) สามารถขัดขวางข้อเสนอการลงทุนจากต่างประเทศที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชาติ หรืออาจกำหนดเงื่อนไขในการลงทุนเพื่อแก้ไขประเด็นที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชาติ
นักลงทุนต่างชาติจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการทบทวนการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Investment Review Board – FIRB) ก่อนเข้าถือครองหุ้นตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป ในธุรกิจ อต. ที่มีมูลค่าสูงกว่า 266 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย*
อย่างไรก็ดี ตามข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ออสเตรเลียทำไว้กับประเทศต่าง ๆ มูลค่าธุรกิจขั้นต่ำสำหรับนักลงทุนจากชิลี จีน เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และสหรัฐฯ อยู่ที่ 1,154 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย* แต่หากนักลงทุนจากประเทศเหล่านี้ลงทุนในธุรกิจที่มีความอ่อนไหว (ได้แก่ ธุรกิจสื่อ โทรคมนาคม ขนส่ง อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องการการป้องกันประเทศและการทหาร และการสำรวจแร่ยูเรเนียมหรือพลูโตเนียมหรือที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์) มูลค่าธุรกิจขั้นต่ำที่ต้องได้รับการอนุมัติจาก FIRB จะอยู่ที่ 266 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย*
นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติจะต้องได้รับการอนุมัติจาก FIRB ก่อนลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการถือหลักทรัพย์ในบริษัทเกี่ยวกับที่ดินและหน่วยลงทุนที่มีสินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นที่ดิน
2. ธุรกิจการเกษตร
นักลงทุนต่างชาติจะต้องได้รับการอนุมัติก่อนเข้าถือครองหุ้นตั้งแต่ร้อยละ 10 ขึ้นไป หรือเข้าไปมีอิทธิพลหรือควบคุมหรือบริหาร ในธุรกิจการเกษตรซึ่งมีมูลค่าการลงทุนสูงกว่า 58 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย* (ไม่ว่ามูลค่าธุรกิจนั้น ๆ จะเป็นเท่าไรก็ตาม)
อย่างไรก็ดี ตามข้อตกลงใน FTA มูลค่าการลงทุนขั้นต่ำสำหรับนักลงทุนจากชิลี นิวซีแลนด์ และสหรัฐฯ อยู่ที่ 1,154 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย*
3 . ธุรกิจสื่อ
นักลงทุนต่างชาติจะต้องได้รับการอนุมัติในการลงทุนตั้งแต่ร้อยละ 5 ขึ้นไปในธุรกิจสื่อ ไม่ว่ามูลค่าการลงทุนจะเป็นเท่าไร
4. การถือครองที่ดิน
นักลงทุนต่างชาติจะต้องได้รับการอนุมัติหากต้องการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรที่มีมูลค่าสูงกว่า 15 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (มูลค่าดังกล่าวเป็นมูลค่ารวมสำหรับนักลงทุนรายหนึ่งๆ)
อย่างไรก็ดี ตามข้อตกลงใน FTA มูลค่าที่ดินเพื่อการเกษตรขั้นต่ำสำหรับนักลงทุนจากชิลี นิวซีแลนด์ และสหรัฐฯ อยู่ที่ 1,154 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย* และนักลงทุนจากไทยอยู่ที่ 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย
นักลงทุนต่างชาติจะต้องได้รับการอนุมัติหากต้องการถือครองที่ดินเปล่าเพื่อการพาณิชย์ ไม่ว่ามูลค่าที่ดินจะเท่าไรก็ตาม ทั้งนี้โดยปกติแล้วการถือครองจะได้รับอนุมติตามเงื่อนไขในการพัฒนาที่ดินนั้น ๆ
สำหรับที่ดินเพื่อการพาณิชย์ที่ได้รับการพัฒนาแล้ว นักลงทุนจากชิลี นิวซีแลนด์ และสหรัฐฯ จะต้องได้รับการอนุมัติหากมูลค่าที่ดินสูงกว่า 1,154 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย* ส่วนนักลงทุนจากประเทศอื่น ๆ มูลค่าที่ดินขั้นต่ำอยู่ที่ 266 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย* ยกเว้นกรณีที่ดินเหมืองและโครงสร้างสาธารณูปโภคที่สำคัญ เช่น สนามบิน ท่าเรือ มูลค่าที่ดินขั้นต่ำจะอยู่ที่ 58 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย*
นักลงทุนต่างชาติจะต้องได้รับการอนุมัติหากต้องการลงทุนในธุรกิจเหมืองแร่หรือสิทธิในการผลิตแร่ ไม่ว่าจะมูลค่าเท่าไรก็ตาม อย่างไรก็ดี นักลงทุนจากชิลี นิวซีแลนด์ และสหรัฐฯ จะต้องขออนุมัติก็ต่อเมื่อมูลค่าการลงทุนสูงกว่า 1,154 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย* เท่านั้น
*ข้อมูล ณ วันที่ 1 ม.ค. 2562 ซึ่งจะปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อทุกวันที่ 1 ม.ค. ของทุกปี
รัฐบาลหรือหน่วยงานราชการต่างชาติจะต้องได้รับการอนุมัติก่อนที่จะเข้าลงทุนโดยตรงในธุรกิจออสเตรเลีย (โดยทั่วไป คือ เข้าถือหุ้นอย่างน้อยร้อยละ 10 หรือเข้าไปมีอิทธิพลในธุรกิจ หรือสามารถเข้าไปควบคุมธุรกิจ) จัดตั้งธุรกิจใหม่ หรือมีผลประโยชน์ในที่ดินของออสเตรเลีย ไม่ว่ามูลค่าการลงทุนจะเป็นเท่าไร นอกจากนี้ รัฐบาลต่างชาติจะต้องได้รับอนุมัติก่อนที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจเหมืองแร่ หรือถือครองหุ้นในกิจการเหมืองแร่ ซึ่งรวมถึงการผลิตหรือสำรวจ ตั้งแต่ร้อยละ 10 ขึ้นไป
ออสเตรเลียมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดย่อม (SMEs) การส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็ก ในออสเตรเลียส่วนใหญ่ จะจัดทำเป็นโครงการทั้งในระดับสหพันธ์รัฐ และระดับมลรัฐ เน้นการให้คำปรึกษา การให้บริการสารสนเทศ และการให้เงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือในการว่าจ้างที่ปรึกษาเข้ามาวางแผนธุรกิจ วิเคราะห์ การตลาด ช่องทางการส่งออก และการวิจัยพัฒนา ไม่ได้จัดทำในรูปแบบของกฎหมายส่งเสริมโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2558 ได้มีการออกกฎหมาย Australian Small Business and Family Enterprise Ombudsman Act 2015 เพื่อจัดตั้ง Australian Small Business and Family Enterprise Ombudsman เพื่อเป็นช่องทางสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจครอบครัวในการเชื่อมโยงกับรัฐบาล และเข้าถึงความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ โดยธุรกิจดังกล่าวต้องมีพนักงานน้อยกว่า 100 คน หรือมีรายได้น้อยกว่า 5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียต่อปี นอกจากนี้ ในปี 2559 ยังมีการออกกฎหมายเพื่อลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับธุรกิจขนาดย่อม
การเปิดร้านอาหารไทยในออสเตรเลีย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. Licensed Restaurant – ร้านอาหารที่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ โดยต้องยื่นขอใบอนุญาตตามกฎหมาย Liquor Licensing Act และผู้ยื่นขออนุญาตต้องผ่านการทดสอบความรู้ด้านนี้
2. Bring Your Own (B.Y.O.) ร้านอาหารประเภทนี้ไม่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ให้แก่ลูกค้า แต่ลูกค้าสามารถนำเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เข้ามาดื่มในร้านได้
จันทร์-ศุกร์ 8:30 - 16:30 น. (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)